วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ้านผม

บ้านผม

Size of image


Extreme close up

เป็นภาพระยะใกล้ แสดงถึงความรู้สึก อารมณ์ ของแบบ นั้น ๆ

Close up

เป็นภาพที่แสดงถึง ความรู้สึกของแบบ แต่ไม่เน้นลักษณะ ว่าอยู่ที่ใด
และรูปแบบที่เห็นเยอะที่สุดคือภาพครึ่งตัว


Medium shot

เป็นภาพที่แสดงถึงว่าทำอะไร อยู่ที่ใด บ่งบอกถึงสถานที่ และอารมณ์





Long shot

เป็นภาพ ที่แสดงถึง ภาพโดยร่วม เช่น กิจกรรมที่ กลุ่มคนหมู่มาก กำลังทำ



Extreme long shot

เป็นมุมกล้องกว้างสุด ที่เน้นวิว ทิวทัศน์ ในูปแบบต่าง ๆ


วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พี่พบน้อง....หรือว่าเพื่อนพบเพื่อน!!

ที่บทความได้ชื่อนี้เพราะความรู้สึกของผู้เขียนเองว่า เจอน้องยังดีใจไม่เท่าเจอเพื่อนกัน และวันที่ 11 สิงหาคม 53 ผมได้มีโอกาสแวะเข้าไปร่วมพี่พบน้องอีกครั้ง (โอกาสคือสิ่งที่เราสร้างเอง...โดดเรียนไปครับ ^^ ) กลับมาในครั้งนี้ เพื่อนที่กลับมาก็มี เพียงไม่กี่คน ลาดกะบัง ม.เกษตร ม.อื่นๆอีกเยอะ แต่สารคาม มีผมและน้องๆ อีกสาม สี่ คนที่ พูดตรงๆว่า อยากไปเจอหน้าเพื่อนกัน น้องบอก ก่อนจะเข้าโรงเรียนได้ ผมได้โทรหาเพื่อน ที่กลับมา มีกันอยู่ 2 คนที่กลับมา

ไอ้แต็กเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ตั้งแต่ม.1 จนถึง ม.6 เรียนห้องเดียวกันไม่ว่าจะมีการสอบแยกห้องก็ตาม ตอนนี้ เรียน วิศวกรรม ที่ ม.เกษตร โทรถามมัน มึงอยู่ไหนแล้วแต็กตอบ กูอยู่บ้านแล้ว ว่าจะออกไป4โมงเช้าอะมึง ขี้เกียดไปก่อน ผมเลยว่า มึงออกมาตอนนี้เลย มาเล่นกับกูที่บ้านก่อนก็ได้” “เออๆ เดียวกุอาบน้ำแล้วจะเข้าไปหา

บ้านผมเป็นบ้านที่ใกล้กับโรงเรียนที่สุดแล้ว มีงานกีฬาสี หรองานไหนๆ ก็จะรวมตัวกันที่หน้าบ้านผมตลอด

ไอ้ใหม่ คือเพื่อนต่างห้องที่ไปไหนไปด้วยกัน ทำอะไรทำด้วยกัน ตอนนี้เรียน ธุระกิจการบิน มหาลัยอะไรจำไม่ได้^^~ มึงอยู่ไหนแล้วนิ ผมถามทางโทรศัพท์ กูขายกาแฟช่วยป้ากูอยู่ตลาดอะมึง..จะไปกันกี่โมง อะ ตอนที่ถามนิจะ สามโมงเช้าแล้ว ผมก็เลยตอบออกไปว่า ไปเดียวนี้ละมึง เดียวไม่ทัน อีแต็กมันก็ออกมาแล้ว ผมตอบ เออๆ เดียวกูอาบน้ำแล้วกูโทรหานะ กูไม่มีรถ เออๆ เสร็จเมื่อไหร่ก็โทรมา

ผมวางสายไปแล้วรอสองคนนี้โทรมาและมาหา คณะนั้นก็กินข้าวและดูข่าวรอ จนสามโมงครึ่ง น้องดิว โทรมาหา แล้วถามว่า พี่พ็อตไม่มาพี่พบน้องหรอ น้องดิวเรียน คณะบัญชี ที่ม.สารคาม น้อง มหาลัยผมเอง เออๆ เดียวนี้อยู่ที่ไหนกัน เดียวพี่ออกไปหา ดีใจแล้วอย่างน้อยก็มีน้องกลุ่มหนึ่งที่รออยู่ที่โรงเรียน อยู่หน้าห้องประชาสัมพันธ์ อะพี่พ็อต อยู่กันหลายคนแล้ว รีบมานะเดียวดิวรออยู่นี้ผมหากุญแจรถ ได้ก็ออกไป พร้อมกับแผ่นพับแนะนำมหาลัย จำนวน 300 แผ่น ฝนก็ตก เลยไม่คิดว่าจะมีคนมาเยอะ

และในวันนั้น โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม ก็ได้ทำพิธีวันแม่แห่งชาติ อีกด้วย โรงเรียนเปลี่ยนไปจริงๆ

โรงเรียนเปลี่ยนไป หรือว่าสิ่งที่มีไม่คุ้นเคย!

พิธีวันแม่ มีเด็กม.ต้น ขึ้นกล่าวประวัติของราชินี ด้วยเสียงที่สะกดใจ อยู่นาน อึ้ง!! กับเสียงที่นุ่มระมัย แทบจะไม่เชื่อว่าเป็นเสียงน้องเขาคนนั้น ไม่รู้จักชื่อ

และมีการขับเสภา โดยผู้แต่งเป็น แม่อร ที่ปรึกษาประจำ ม.6/2 ของผมสมัยนั้น!!

เมื่อเสร็จพิธีวันแม่ ก็เริ่มมีนักเรียนมาออกกันที่ หอประชุมโรงเรียน อย่างเยอะ เพื่อมาดูพิธีเปิดพิธีเปิดพี่พบน้องการแสดงของน้อง ระดับมัธยม ในตอนนั้นเรียกได้ว่า เก่งกว่ารุ่นผมจริงๆ เพราะการนำการแสดงของ ครูอุ๊ย ที่ตอนแรกเป็นครูที่นี้และย้ายไปสอนที่อื่น ตอนนี้ได้กลับมาพร้อมพรั่งกับ การแสดงแบบร่วมสมัย อย่างเป็นสากล ที่ฝึกหนักหลังช่วงเลิกเรียนเป็น แรมเดือน ขอบคุณครูอุ๊ย ที่ยังมีการแสดงที่ บ่งบอกได้ว่า โรงเรียนเราต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จริงๆ

เมื่อถึงเนื้อหาสาระของงาน ก็ได้ขึ้นแนะนำตัว ในแต่ละสถานบัน ทุกๆ คนก็มีรูปแบบการแนะนำตัวและสาขากันอย่างหลากหลาย เพื่อดึงดูดน้อง ให้สนใจ

แนะนำตัวเสร็จก็เที่ยงแล้ว อาจารย์แนะแนวคนใหม่ก็ได้ จัดเตรียมข้างปลาอาหาร เพื่อหวังว่า พี่และน้องจะได้นั่งคุยกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ และแนะนำแนวทางการศึกษา พบปะพูดคุยกันอย่างกว้างขวง แต่น้องก็ไม่กล้าที่จะเข้ามา

และรอบบ่ายก็ได้แบ่งกลุ่มศึกษา ในสาขาวิชาที่พี่ๆ กำลังศึกษาอยู่ ใช้เวลาประมา ชั่วโมงกว่าๆ น้องก็หมดคำถาม

ตอนนั้นก็มี การแสดงละคร ของ น้อง ม.6/4 เรื่องสังค์ทอง ก็เป็นการย้อนวันวาน นึกถึงวันที่อยู่ ม.6 ที่ผมได้รับบทเป็นพระลอ ก็ทำให้คิดถึงเพื่อนๆทุกคนมากกกกกกกกกกกกก ตกเย็นก็นัดกับเพื่อนๆ มานั่งชิวที่บ้าน ก็เป็นประจำ ถ้าผมมาบ้านก็จะมานั่งกินข้าวที่บ้านผมในช่วงเย็น เพราะแม่ของผมทำอาหารอร่อยมาก ไม่ได้ชม อันนี้เรื่องจริงก็เป็นภาพ วันวานที่ผ่านพ้นมา กับเวลาและความเป็นผู้ใหญ่

แต่บางครั้งก็ต้องเจอ และรับกับปัญหาของความเป็นผู้ใหญ่ ที่ผมรับเรื่องราวอันแสนโหดร้ายบางครั้ง แต่ก็ยังมี (((เพื่อน))) ที่นานๆที ได้นั่งคุยกันแรกเปลี่ยนเรื่องทุกข์ร้อนและคำปลอบโยนให้กัน เป็นสัญญาณที่บอกว่า ล็อกแล้วลุย พรุ่งนี้เริ่มใหม่

ผู้เขียนอยากให้ทุกคนได้มีความสุข อย่ามองข้ามความสุขนั้นๆ ที่ผ่านมาในแต่ละวัน จงจดจำ และนำไปปลอบโยนตนในยามทุกข์ใจ!!


ศาลปู่จอม พระยานรินท์ วีรชนแห่งภูเวียง

ในวันที่ 11 สิงหาคม เวลาประมาณ เจ็ดโมงเช้า แม่ได้ปลุกผมให้ลุกออกจากเตียงและไปไหว้ศาลเจ้าจอม วันนี้เซ่นไหว้กัน ก็มีหลายอย่างที่นำมากราบไหว้ อ่านแล้ว งง สำคัญยังไง เดียวเหล่าให้ฟัง


เรื่องมีอยูว่า............

ในนิราศทัพเวียงจันทน์ ของหม่อมเจ้าทับในกรมหลวงเสนีย์บริรักษ์ ฯ
ได้กล่าวถึงพระยานรินทร์ ดังนี้

แต่ตัวนายโยธาพระยานรินทร์
ครั้นไพร่พลไปสิ้นก็ขัดขวาง
ขึ้นขี่ขับนางม้าเป็นท่าทาง
ออกวิ่งวางจะขึ้นบนคีรี
กองพระยากลาโหมเข้าโจมจับ
พวกกองทัพติดพันไม่ทันหนี
ก็ตกม้าลงไปขัดปฐพี
พวกโยธีกลุ้มกลัดเข้ามัดมา
ถึงถวายบังคมบรมบาท
จอมณรงค์ทรงประภาษที่ปรึกษา
ให้ซักถามตามยุบลแต่ต้นมา
ได้กิจจาแจ้งจริงทุกสิ่งอัน

ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ได้บันทึกเรื่องราวการสู้รบของพระยานรินทร์ไว้ว่า

ครั้น ณ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ทัพหลวงก็ยกจากเมืองนครราชสีมาขึ้นไปตั้งอยู่น้ำเซิน
ทัพหน้าเข้าตีค่ายหนองบัวลำภู แต่ ณ วันอังคาร เดือน 6 ขึ้น 6 ค่ำ พระยานรินทร์แม่ทัพลาวได้สู้รบทัพไทยเป็นสามารถ ทัพไทยตีค่ายหนองบัวลำภูแตก แต่ ณ วันศักร์ เดือน 6 ขึ้น 9 ค่ำ ( ตรงกับวันที่ 4 พฦษภาคม 2369)

จับได้พระยานรินทร์ส่งตัวมาทัพหลวง รับสั่งให้ถามพระยานรินทร์ว่า จะเลี้ยงจะอยู่หรือไม่อยู่

พระยานรินทร์ไม่สวามิภักดิ์ ก็โปรดให้เอาช้างแทงเสีย

วีรชนผู้กล้าแห่งเมืองภูเวียง ต่อมาเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองภูเวียง ถ้าไม่กล้าคงไม่เกิด ตัวผมเองพอกได้ว่า ผู้เป็นลูกคนลาว แห่งบ้านภูเวียง!!!